
หลายๆ คนคงอยากไปเที่ยวไอซ์แลนด์ซักครั้งในชีวิต (ซักครั้งก็พอ ไปหลายครั้งเดี๋ยวจน 555) แต่อาจจะมองว่าไปยากหรือไกลตัว ซึ่งเราว่าจริงๆ แล้วไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่เที่ยวไม่ยากเลย เตรียมตัวก็ไม่ได้ลำบากเกินเรื่องอะไร วันนี้เราเลยลิสต์มาให้ 9 ข้อ ว่ามีเรื่องอะไรต้องเตรียมก่อนไปเที่ยวไอซ์แลนด์บ้าง ส่วนแพลนการเดินทางแต่ละวันเดี๋ยวแยกให้อีกหัวข้อนึงไปเลยละกัน มาค่ะ!
การเตรียมตัวไปเที่ยวไอซ์แลนด์
1. Iceland เที่ยวช่วงไหนดี
เราว่าไอซ์แลนด์ไม่ได้มีช่วงไหนต้องห้ามอะเอาจริง 555 ไปได้ตลอดปี สวยทุกฤดู เพียงแต่มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ต้องถามว่า “เราอยากเห็นวิวแบบไหนมากกว่า” เพราะแต่ละฤดูจะมีวิวที่แตกต่างกันไปเลย รวมทั้งมีช่วงกลางวันและกลางคืนยาวนานไม่เท่ากันด้วย ลองมาดูข้อมูลกันเผื่อจะช่วยให้เลือกได้ว่าไปฤดูไหนดี
ฤดูที่ไอซ์แลนด์แบ่งเป็น 4 ฤดู เหมือนประเทศอื่นๆ ในยุโรปคือ
ฤดูหนาว – ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม
ข้อดี วิวที่เห็นจะน่ากรี๊ดสำหรับพวกเราชาวไทยมากๆ เพราะจะมีแต่หิมะปกคลุมขาวโพลน และจะมีบางกิจกรรมที่ทำได้เฉพาะหน้าหนาว เช่น ชมถ้ำน้ำแข็ง นอกจากนี้ฤดูหนาวยังมีกลางคืนที่แสนยาวนาน (ที่ว่านาน นี่บางเดือนคือนานจริง แทบไม่มีกลางวัน) ทำให้มีโอกาสเจอแสงเหนือเยอะมากๆ
ข้อเสีย อากาศจะหนาวมากกกก ถนนบางเส้นอาจจะปิด ไม่สามารถขับรถผ่านไปได้เพราะอันตราย กิจกรรมต่างๆ มีรอบให้เลือกน้อยลง (เช่น ดูปลาวาฬ นั่งเรือเที่ยวลากูน) และด้วยช่วงเวลากลางคืนที่แสนยาวนาน ทำให้เราเหลือเวลาเที่ยวชม landscape ต่างๆ ตอนกลางวันน้อยลง เอาว่าถ้าตื่นพร้อมพระอาทิตย์ขึ้น กว่าจะอาบน้ำ กินข้าว แต่งหน้า ก็แทบหมดเวลาเที่ยว ฮ่า
ฤดูใบไม้ผลิ – เมษายน พฤษภาคม
ข้อดี เป็นช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนจากหน้าหนาวเป็นหน้าร้อน ทำให้ยังมีหิมะบนยอดเขาตัดกับสีอื่นๆ ไม่ได้ขาวโพลนไปทั้งหมด แถมยังมีกลางวันและกลางคืนยาวพอๆ กัน ทำให้มีเวลาเที่ยวดูวิวตอนกลางวันคุ้ม และยังมีโอกาสเห็นแสงเหนือตอนกลางคืนด้วย (เพื่อนเราไปมาเดือนเมษา ก็เห็นบ่อยมาก ดวงดีจริงๆ)
ข้อเสีย เดือนพฤษภาคม จะเริ่มมีกลางวันยาวกว่ากลางคืนหลายชั่วโมง ใครตั้งใจไปล่าแสงเหนือก็อาจจะหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะมันไม่มืดซักที 555
ฤดูร้อน – มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม
ข้อดี กลางวันยาวนานกว่ากลางคืนมากกกก ทำให้เที่ยวกันได้เรื่อยๆ แบบไม่ต้องหลับต้องนอนกันไปเลยจ้า กิจกรรมต่างๆ มีรอบให้เลือกเยอะกว่าช่วงหน้าหนาว โดยเฉพาะถ้าใครอยากดูปลาวาฬ ทัวร์เค้าการันตีว่าได้เจอ100%เลยแหละ วิวที่ได้เห็นก็จะออกเขียวๆ อุดมสมบูรณ์ มีดอกมงดอกไม้บานสวยงาม
ข้อเสีย ที่เที่ยวบางที่อาจจะเข้าไม่ได้ เช่น พวกถ้ำน้ำแข็ง และด้วยความที่กลางวันยาวนาน กลางคืนแป๊บเดียว ทำให้มีโอกาสเห็นแสงเหนือน้อยไปด้วย เพราะมีเวลาออกไปตามหาแค่แป๊บเดียว
ฤดูใบไม้ร่วง – กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน
ข้อดี เป็นฤดูที่ใบไม้เปลี่ยนสี จึงจะได้เห็นต้นไม้ใบหญ้าสีแดงสีส้ม ทุ่งหญ้าสีเหลืองอะไรก็ว่าไป แถมยังมีช่วงเวลากลางวันและกลางคืนยาวพอๆ กัน ทำให้ได้เที่ยวตามสถานที่ต่างๆ อย่างจุใจ และยังมีเวลาออกล่าแสงเหนือตอนกลางคืนด้วย
ข้อเสีย เป็นฤดูที่มีฝนเยอะ ก็จะเซ็งนิดหน่อยเวลาถึงที่เที่ยวและฝนตกหนักเกินเที่ยวไม่ได้ หรือบางทีก็เมฆมากตอนกลางคืนทำให้ไม่เจอแสงเหนือ
ปล. เราไปช่วงเดือนตุลาคม เราว่าไม่แย่ อากาศที่นั่นแปรปรวนเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะฉนั้นถ้าฝนตกบางทีรอแป๊บเดียวก็หยุดไปเอง 555 แล้วก็ยังพอจะมีโชคอยู่บ้าง เจอแสงเหนือบางๆ อยู่คืนนึง ทุกอย่างโอเคและรื่นรมณ์ 555
ใครแพลนไปเดือนไหนลองเข้าไปเช็คเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่ไอซ์แลนด์ดูก่อนได้ที่ www.timeanddate.com. ส่วนใครอยากอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับฤดูต่างๆ เพิ่มเติมให้เข้าไปที่ guidetoiceland

2. การจองตั๋วเครื่องบินไป Iceland
การจองตั๋วเครื่องบินไปไอซ์แลนด์ปกติต้องจองแยก 2 ต่อ คือต้องซื้อตั๋วจากไทยไปลงเมืองใดเมืองหนึ่งในยุโรป แล้วถึงจะซื้อตั๋วจากเมืองนั้นๆ ต่อไปลงที่เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์อีกที ดังนั้นต้องเช็คว่าเมืองในยุโรปที่จะซื้อตั๋วจากกรุงเทพฯไปลงนั้นมีเที่ยวบินที่บินไปไอซ์แลนด์หรือเปล่า โดยเช็คได้จากเว็บสายการบินที่มี Route ไปไอซ์แลนด์ตามนี้จ้ะ Icelandair, Wow, SAS, Easy Jet (น่าจะมีมากกว่านี้นะ แต่รู้แค่นี้ 555)
การจองแบบนี้ ข้อดีคือถ้ามีเวลาไปเที่ยวหลายวัน ก็จะแบ่งเวลามาเที่ยวเมืองที่แวะเปลี่ยนเครื่องได้ด้วย เหนื่อยแต่ก็ฟินนา
ตั๋วของเราเริ่มจากเจอโปรของ Qatar airways แบบ multicities จุดหมายคือไปลง Copenhagen, Denmark ขาขึ้นขึ้นที่เวียดนาม ขากลับลงกรุงเทพฯ ราคาถูกมาก ไป-กลับ 10,xxx บาท (แต่ต้องซื้อตั๋วขาเดียวไปเพื่อขึ้นเครื่องที่เวียดนาม) แล้วจาก Denmark ก็ซื้อตั๋วไป-กลับ Iceland อีก คือรวมๆ แล้วค่าตั๋วถูกจริงแต่ก็ซับซ้อนและเหนื่อยอยู่เหมือนกัน 555
ทีนี้ ล่าสุดนี่เราแอบเห็นว่าสายการบิน Finnair มีตั๋วที่บินจากไทยไปไอซ์แลนด์ (BKK – KEF) ได้เลย ไม่ต้องแยกซื้อหลายสิ่ง (แวะเปลี่ยนเครื่องที่ฟินแลนด์รอบนึง ก็ต้องยอมก็ประเทศแม่เค้าอะเนอะ) ซึ่งเวิร์คมากๆ เพราะช่วงไหนมีโปรโมชั่นคือราคาถูกมาก เคยเห็นอยู่ที่ 25,xxx – 26,xxx เอง ยังไงลองตามโปรดูนะจ๊ะ
3. การขอวีซ่า
การเข้าประเทศไอซ์แลนด์เราต้องใช้วีซ่าเชงเก้น ซึ่งเป็นวีซ่าเดียวกับที่ใช้เข้ายุโรปประเทศอื่นๆ เพียงแต่ว่าไอซ์แลนด์ไม่มีสถานทูตในไทย เค้าจึงมอบหมายให้ประเทศเดนมาร์กเป็นผู้ดำเนินการแทน เวลาเราจะขอวีซ่าก็เลยต้องยื่นขอกับสถานทูตเดนมาร์กจ้า ซึ่งต้องมีการจองล่วงหน้า ยังไงก็แพลนเผื่อเวลากันดีๆ นา ส่วนใครกระหายพร้อมจะขอวีซ่าจะแย่ พาสปอร์ตในมือมันสั่นไปหมดแล้ว เชิญด้านนี้จ้ะ ขอวีซ่าไอซ์แลนด์
4. ที่พักใน Iceland เป็นแบบไหน แพงมากมั๊ย
สำหรับคนที่ไม่ได้ขับรถบ้านเที่ยว(แบบเรา) ก็ควรจองที่พักไว้ก่อนให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัย ขอไม่แนะนำให้ไปตายเอาดาบหน้ามืดไหนค่อยจองไรงี้ ความมืดที่นั่นมันน่ากลัวนะขอบอกก 555
พอทำแพลนเสร็จจนแน่ใจแล้วว่าแต่ละวันจะขับรถไปจบที่ไหน เรากับเพื่อน(ทั้งหมด 5 คน)ก็หาที่พักจากเว็บทั่วไปเลย ก็คือพวก Airbnb, Agoda และ Booking สุดท้ายเราก็จองจาก Booking.com ทั้งหมดเพราะ cancel ง่ายไม่ใช่ไร 555 เราจองล่วงหน้า 3-4 เดือนเลยคิดว่า เออ ถ้าเปลี่ยนแพลนยังไงก็ยังพอเปลี่ยนที่พักได้ แล้วพอใกล้ๆ ถึงวันที่จะไป ถ้ามาเช็คราคาที่ที่จองไปแล้วแล้วมันดันถูกกว่าตอนเราจองก็ cancel อันเดิมแล้วจองใหม่ได้อีก
PS. ถ้าใครจองที่พักใน Booking.com ผ่านลิงก์นี้ Booking.com/GOER จะได้เครดิตเงินคืน 20 AUD กันทั้งฉันและเธอ (ชั้นอ่านไม่ผิดใช่มั๊ยอะ ถ้าใครพบว่าชั้นเข้าใจผิดก็ไม่ต้องจองผ่านลิงค์นี้ไปเลือกจองผ่านลิงค์ใครก็ได้ที่ได้เงินคืน 555) แต่จะได้หลังจากไปพักมาแล้วเท่านั้นน้า
เวลาเลือกที่พักเราแค่เลือกให้เข้ากับงบแล้วก็ลักษณะการเที่ยวของตัวเอง เช่น เราเอาอาหารการกินจากไทยไป ตั้งใจว่าจะทำกินมื้อเย็นทุกวัน ก็จะเลือกจองที่พักแบบมีครัว (เท่าที่เจอไม่ว่าจะครัวแยกหรือครัวรวมก็ดีทั้งหมด) ส่วนเรื่องงบ เราตั้งงบไว้หัวละ 1,500 บาท/คน/คืน ทีนี้ถ้ามีคืนไหนจำเป็นต้องแพงกว่านั้น (คือบางเมืองแพงจริง หาถูกนี่ไม่มีเลย) เราก็ไปบีบคอเอากับคืนอื่น หาถูกๆ มานอนให้ได้ 555 สุดท้ายมารวมๆ แล้วมันก็มีบวกลบนิดหน่อยแต่ก็ถือว่าโอเคเลย



ปล.
– ที่พักทุกที่มี Heater และผ้าห่มแสนอบอุ่นให้ สบายมาก
– ห้องน้ำที่นั่นเค้าให้ flush ทิชชู่ใช้แล้วลงโถส้วมไปเลย ไม่ควรทิ้งลงถังขยะจ้า (วิถีเค้าเป็นแบบนั้น)
– แอบสังเกตุว่า เค้ามักจะให้ถอดรองเท้าไว้นอกบ้าน หรือนอกห้อง หรือบางที่ให้ถอดไว้ชั้นล่างเลย ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ แต่ไปๆ มาๆ ก็ดีนะ สะอาดดี 555
5. การเช่ารถ
อันดับแรกเลยอย่าลืมไปทำใบขับขี่สากล อันที่จริงหลายๆ ประเทศเค้าก็อนุโลมให้ใช้ใบขับขี่ไทยปกติได้นะ ถ้าเป็นรุ่นใหม่ที่มีภาษาอังกฤษบอกรายละเอียดบนใบขับขี่ด้วย แต่คือถ้าเอาชัวร์ก็ไปทำใบขับขี่สากลดีกว่า เราไปกัน 5 คน ผลัดกันขับ 2 คน (ควรใส่ไปตอนจองรถด้วยว่าจะขับกี่คน) ข้อแม้ในการหารถของเรามีแค่ ต้องหารถที่พอใส่กระเป๋าเดินทาง 5 ใบของพวกเรา หลังจากที่หาข้อมูลเปรียบเทียบกันหลายๆ เว็บ ก็จองเป็นรถ Renault รุ่นไรจำไม่ได้จากบริษัท Geysir car rental Iceland พวกเราจองเป็นเกียร์กระปุกไปเพราะถูกกว่า และเพราะเห็นในเว็บเค้าเขียนว่าใส่กระเป๋าได้ 5 ใบก็เอาเลย ทั้งที่ไม่แน่ใจเลยว่าของจริงจะใส่กระเป๋าได้ครบทุกใบจริงมั๊ย สุ่มเสี่ยงมาก 555 กระเป๋าที่เอาไปก็เลยใหญ่บ้างเล็กบ้าง เป็นใบใหญ่ (28 นิ้ว) 1 ใบ ที่เหลืออีก 4 ใบเป็นใบกลาง (24 นิ้ว) สุดท้ายพอไปรับรถได้อัพเกรดเป็นรุ่น Renault Scenic เกียร์ออโต้ แล้วก็สามารถยัดกระเป๋าได้พอดีแบบปิดกระจกหลังแทบมิดเลยอะ 555 รอด!
ที่สำคัญ ตอนจองรถควรทำประกัน Zero Excess ควบไปด้วย มันคือประกันแบบครอบคลุมเกือบทั้งหมด เรียกได้ว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เราแทบจะไม่ต้องจ่ายอะไร ซึ่งการขับรถเที่ยวมันมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เยอะพอสมควร บางทีอาจเป็นอะไรที่ไม่ได้ตั้งใจ เช่น คนอื่นมาชน หินกระเด็น บลาๆ ถ้าเกิดเราซวยโดนขึ้นมาจะได้ไม่ซวยซ้ำด้วยการต้องมานั่งจ่ายค่าซ่อมแสนแพง แล้วอีกอย่างตอนไปคืนรถก็สะดวกด้วย ไม่ต้องรอตรวจนู่นตรวจนี่ ทางที่ดีควรอ่านด้วยนะว่าไอ้ Zero Excess ของบริษัทที่จะจองมันครอบคลุมอะไรบ้าง (ส่วนใหญ่จะครอบคลุมเกือบหมด มีไม่กี่อย่างที่ไม่รวม แต่รู้ไว้จะได้ระวังตัวถูก 555) อย่างเช่นรถเรายางแตกนี่ไม่ต้องสืบเลย ไม่รวมในประกัน จ่ายเองเจ็บๆ ไปยางเส้นละ 7 พันกว่า 555
การขับรถที่นู่นจริงๆ ไม่ยาก แต่ช่วงแรกๆ อาจจะต้องปรับสมองนิดหน่อยเพราะที่นั่นขับพวงมาลัยซ้าย ทำให้เวลาจะเลี้ยว จะดูเลน เวลาจะเข้าวงเวียน (ต้องให้รถในวงเวียนไปก่อน) อาจจะต้องมีสตินิดนึง 555 เรื่องอื่นๆ ก็คล้ายๆ กับการขับรถในประเทศอื่นๆ ในยุโรป คร่าวๆ คือ เติมน้ำมันเองแล้วจำเลขหัวปั๊มไปจ่ายในร้านมินิมาร์ท (หรือบางปั๊มที่จ่ายตังอาจดูคล้ายๆ ร้านขายของฝาก), ขับรถต้องระวัง Speed limit, ที่จอดรถบางที่เสียเงิน (มันจะมีตู้ให้เราไปเลือกว่าจะจอดนานแค่ไหน จากนั้นก็จ่ายเงิน และจะมี ticket ออกมา เราก็เอาไปวางไว้หน้ารถ) บลาๆ ถ้ามีเวลาลองอ่านพวกความหมายของป้ายบอกทางต่างๆ ไปด้วยจะดีมากจ้า



6. อาหารการกิน
เราเอาอาหารพร้อมกินไปจากไทยเยอะมากกกกก พอกิน 5 คนไปทุกเย็น 555 แล้วเราก็เลือกจองที่พักที่มีครัวซะส่วนใหญ่ (บางคืนก็ครัวรวม บางคืนก็ครัวเดี่ยว แต่ดีทั้งหมด) ประหยัดไปได้เยอะ อันนี้ถ้าใครขี้เกียจและมีตัง จะกินที่ร้านทุกเย็นเลยก็ย่อมได้ แล้วแต่ชอบจริงๆ จุดนี้
ส่วนอาหารกลางวัน ถ้าวันไหนไม่แน่ใจว่าที่ที่ไปจะมีร้านมั๊ย หรือแพลนเที่ยวแน่นๆ พวกเราจะซื้อขนมปัง แยม ทูน่าจาก supermarket มาทำแซนวิชเตรียมไว้แต่เช้า แล้วพกไปไว้กินบนรถ บางวันเที่ยวเมืองๆ หน่อยก็มีกินตามร้านบ้าง เอาจริงราคาหารกันก็ไม่แพงมากตกคนละ 400-600 บาท/มื้อ (แต่ถ้ากินทุกมื้อก็แพงอะเนอะ 555) ถูกกว่านั้นก็มีนะ เป็นพวกสลัดแพ็คไว้แล้วประมาณนั้น แล้วแต่จะเลือกอีกเช่นกันนนน
ถ้าใครอยากได้รายละเอียดเพิ่มเกี่ยวกับ Supermarket ใน Iceland ลองเข้าไปที่ Guide to food shopping in Iceland เค้าจะบอกว่าแต่ละแบรนด์ต่างกันยังไง แล้วเค้ามีแผนที่ให้ดูทั่วประเทศเลยว่ามี Supermarket อยู่จุดไหนบ้าง เผื่อใครจะแพลนเรื่องซื้ออาหารอันนี้ช่วยมากๆ ปล. ส่วนตัวพวกเราชอบ Nettó เพราะแอบถูกกว่าที่อื่นๆ ฮาาา
7. การแต่งตัว
ที่ไอซ์แลนด์นี่หนาวเปิดโลกมาก ไม่รู้เพราะเราแต่งชิวไปหรืออะไร กางเกงเราใส่ยืนส์รัดๆ ก็พอไหว แต่ก็ทรมานนิดหน่อย เลยคิดว่าถ้าใส่กางเกง heattech ไว้ก่อนชั้นนึงแล้วค่อยตามด้วยกางเกงอะไรก็ตามที่อยากจะใส่คงจะดี หรือบางคนอาจจะใส่กางเกงวอร์มที่ข้างในเป็นขนๆ กันหนาวไปเลยตัวเดียวก็ได้ มันได้หลายแบบ ส่วนท่อนบนแนะนำให้ใส่หลายชั้นหน่อย คือ heattech ตามด้วยเสื้อฟรีซหรือเสื้อกันหนาวหนาๆ แล้วก็ชั้นสุดท้ายเป็นเสื้อกันหนาวพองๆ แบบที่กันลมด้วย ที่เราชอบเรียกกันว่ามิชลินอะ 555 ขอย้ำว่า ต้องเป็นแบบกันลมได้นะ เพราะลมคือตัวทำให้เราหนาวมากกว่าอุณหภูมิจริง หนาวไปถึงทรวงใน
สิ่งที่ไม่คิดว่าจะสำคัญ แต่กลับสำคัญมาก คือ ถุงมือ ผ้าพันคอ และหมวก บอกเลยว่าสำคัญมากๆๆ อยู่ที่นั่นเหมือนมือกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดของร่างกายเฉยเลยอะ หนาวมือจนไม่อยากจะหยิบกล้องมาถ่าย ไม่อยากจะอยู่นอกรถ ดังนั้นถ้าใครจะลงทุนกับถุงมือดีๆ ซักคู่คือเชียร์สุด ต่อมาคือผ้าพันคอ เอาแบบหนาๆ ไปเลย แล้วพันให้มิดๆ แน่นๆ อย่าให้ลมมันเข้ามาได้ อย่าไปยอมมัน 555 แล้วก็อย่าลืมหมวกไหมพรม! ยิ่งผู้ชายนี่จำเป็นเลยแหละเราว่า ช่วยให้อุ่นขึ้นมาได้เยอะ พวกถุงเท้ารองเท้าแล้วแต่สะดวกนะ เพื่อนเราใช้ถุงเท้าธรรมดา แต่เอารองเท้ากันหนาวกันน้ำไป (ที่หาซื้อได้จาก Shopee) เพื่อนก็บอกว่าสบายเลย เอาอยู่ ส่วนเราใช้ถุงเท้า heattech รองเท้าบูธบ้าง ผ้าใบธรรมดาบ้าง ก็ถือว่าโอเค ไม่ได้รู้สึกอบอุ่นเท้าอะไรเลย แต่ก็เย็นใน level อยู่ได้ 555
8. สกุลเงินที่ Iceland
ไอซ์แลนด์เป็นประเทศแรกในชีวิตที่ไปแล้วเราไม่ได้จับเงินเค้าเลย 555 คือไม่เห็นแบงค์ไม่เห็นเหรียญ เพราะหาแลกในไทยไม่ได้ ไอ้จะเอา Euro ไปแลกที่นู่นก็เสียเรตซำ้ซ้อน ก็เลยทำตามที่เค้ารีวิวกันเลย เค้าบอกกันว่าที่นั่นใช้บัตรเครดิตได้หมด งั้นก็เอาไปแต่บัตรเว๊ะ แล้วมันก็จริง สังคมไร้เงินสดโดยแท้ กาแฟแก้วไม่กี่บาทก็รูดได้หมด สบ๊าย (ทางที่ดีเก็บใบเสร็จไว้ก็ดี เผื่อกลับมาผิดพลาดยังไงจะได้มีตัวช่วย)
ที่สำคัญ! รูดๆ ไปนั่นระวังมือนิสสส อย่าเพลินมาก ทุกอย่างมันแพง ฮ่าา
9. แพลนการเดินทาง
ทุกอย่างเริ่มต้นที่ Google 555 เราเริ่มจากเซิจหาว่ามีเมืองไหน จุดไหนน่าเที่ยวบ้าง แล้วก็เอามา mark ลงแผนที่ไว้ทุกที่เลย จากนั้นก็ค่อยๆ เอามาประชุมกับเพื่อนๆ แล้วทะยอยตัดออกไปรื่อยๆ ตามเวลาที่เรามี จุดนี้ทำใจลำบากมากเพราะอยากไปทุกกกกกกที่
ในที่สุดผู้ที่ถูกเลือกมีดังต่อไปนี้ค่า
DAY 1: ไปถึง Keflavík International Airport ก็ตอนมืด กว่าจะออกจากสนามบินรับรงรับรถก็หมดเวลา มุ่งหน้าเข้าที่พักไปนอนเก็บแรงอย่างเดียวเท่านั้น
DAY 2: Gullfoss – Seljalandsfoss – Skógafoss (ไปถึงฝนตก พัง วันต่อไปต้องมาใหม่)
DAY 3: Skógafoss – Dyrhólaey – Black sand beach – Reynisdrangar – Mossy field – Svínafellsjökull – Diamond beach ได้มาถ่ายแสงกลางคืนก่อนรอบนึง (ไม่ได้ตั้งใจแค่มาถึงมืด)
DAY 4: Diamond beach – Jökulsárlón (อยู่ตรงข้ามกัน) – Hofn – Vestrahorn – Egilsstaðir (ระหว่างมาเมืองนี้แหละที่ยางแตก)
DAY 5: Seyðisfjörður – Hvenir – Goðafoss – Akureyri
DAY 6: Hvitserkur – Grundarfjordur
DAY 7: Kirkjufell – Búðakirkja – Reykjavík – Blue lagoon
DAY 8: หลับหูหลับตื่นตั้งแต่เช้ามืดแค่เพื่อไปขึ้นเครื่องบินให้ทันเท่านั้น
สำหรับกิจกรรมแต่ละวันของเราคือแค่แวะเดินเล่น ถ่ายรูป ยืนชมวิวให้อิ่มอกอิ่มใจ ไม่ได้ทำอะไรมาก ทั้งที่จริงๆ มันมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกหลายอย่างมาให้เล่นแตกต่างกันออกไปในแต่ละฤดูและแต่ละเมือง เช่น ดูถ้ำน้ำแข็ง, ล่องเรือใน Jökulsárlón, เล่น snowmobile, ดูปลาวาฬ บลาๆ (ตอนทำแพลนก่อนจะไปก็เล็งไว้หลายสิ่ง แต่เวลาไม่พอ ต้องตัดใจ TT) กิจกรรมพวกนี้เป็นอะไรที่เราไปเองไม่ได้ ต้องซื้อพวก Local ทัวร์ไป ซึ่งก็สมควรแหละเพราะบางอย่างดูแล้วก็ยังจินตนาการไม่ออกว่าถ้าไปเองจะไปยังไงวะ 555 ทัวร์มีหลายแบบหลายราคาหลายกิจกรรมมาก ลองเซิจพวกทัวร์ไอซ์แลนด์ดูได้เลย แล้วดูว่ากิจกรรมที่เราอยากเล่นเค้าเปิดให้ซื้อทัวร์ไปเล่นในช่วงที่เราไปรึป่าว เสร็จแล้วค่อยลองเทียบราคา อ่านรีวิว ดูความน่าเชื่อถือแล้วก็ค่อยตัดสินใจเอาว่าไปอันไหนดีงี้
10. Budget สำหรับทริปไอซ์แลนด์
สำหรับค่าเสียหายในทริปนี้ เราขอแยกเป็นหัวข้อตามตารางด้านล่างนี้น่าจะเข้าใจง่ายสุด โดยที่ทั้งหมดนี้เป็นค่าใช้จ่ายต่อ 1 คน (เราไปกัน 5 คน ข้างล่างนี้คือหารเป็นตัวเลขต่อหัวให้แล้วจ้า)
| รายการใช้จ่าย | บาท |
| ค่าตั๋วเครื่องบิน (รวมทุก flight) | 22,731 |
| ค่า Visa | 3,110 |
| ค่าเช่ารถ | 5,300 |
| ค่าน้ำมัน | 1,860 |
| ค่าเปลี่ยนยางรถยนต์ที่แตกระหว่างทาง | 1,523 |
| ค่าที่พัก (7 คืน) | 10,035 |
| ค่ากินที่ Iceland | 3,312 |
| ค่าเข้า Blue lagoon | 3,029 |
| อื่นๆ (ค่าที่จอดรถ, ค่าเข้าสถานที่ ฯลฯ) | 1,329 |
| รวม | 52,229 |
เรื่องค่าใช้จ่ายนี่มันจะยืดหยุ่นนิดนึงนะ เช่น บางคนไม่อยากเตรียมอาหารจากไทยไป ขี้เกียจทำขี้เกียจเตรียมในแต่ละวัน จะกินที่ร้านทุกมื้อเลยก็ได้ ก็ยอมจ่ายไป หรือพวกค่าเข้าสถานที่กับกิจกรรม เล่นมากก็จ่ายมาก เล่นน้อยหน่อยก็จ่ายน้อย อะไรแบบนี้ หรือหรือหรือ ถ้าไม่เจออุบัติเหตุอะไรเลย ยางรถไม่แตกแบบพวกเรา ก็จะไม่โดนค่ายาง 555
เตรียมตัวเตรียมแพลนให้พร้อมแล้วก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ที่เหลือก็แค่เตรียมใจไป แล้วก็ลุย!
#เรื่องเที่ยวเราสู้




