เที่ยว Venice อิตาลี | แพลนเที่ยว การเดินทาง ฝากกระเป๋า ของกิน

เวนิสเมืองฮิตมาตั้งแต่ยุคพ่อแม่ตายาย ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้นี่ก็ยังคิดว่าเวนิสยังคู่ควรที่จะอยู่ในลิสต์เมืองที่ต้องไปให้ได้ซักครั้งก่อนน้ำจะท่วมโลก (แต่ไม่ต้องไปห่วงเค้าเรื่องน้ำท่วมนะ เพราะกรุงเทพก็อาจจะปลิวไปพร้อมๆ กัน 555) ต่อให้เวนิสจะทัวร์ลงจนต้องแย่งอากาศกันในบางพื้นที่ แต่เชื่อเถอะ ที่นั่นยังมีช่องว่างให้เราได้อินไปกับความสวยงามและบรรยากาศ มีที่พอให้ได้นั่งเฉยๆ จินตนาการถึงการใช้ชีวิตที่นี่เมื่อหลายร้อยปีที่แล้วว่ามันจะเป็นยังไงกันนะ

สำหรับเราแล้วเวนิสเป็นเมืองคลาสสิคและมีเสน่ห์มากกก ให้อยู่เหนือคำว่าเทรนด์ท่องเที่ยวไปเลยอะ เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์อย่างที่สุด เป็นที่เดียวแห่งเดียวในโลกจริงๆ ที่จะได้เห็นวิถีชีวิตที่เราไม่เคยเห็น ดีใจกับชาวอิตาลีที่สามารถอนุรักษ์เมืองมาได้ถึงคนเรารุ่นเรา

มา! วันนี้เราจะมาลุยเวนิสกันใน 3 หัวข้อใหญ่ที่อ่านจบเมื่อไหร่ก็หลับตาเที่ยวได้เลย (ขออภัยในนิสัยเว่อวัง)

  • รู้จักเวนิสอีกนิด
  • การเดินทางที่เวนิส
  • แพลนเที่ยว 2 วัน 2 คืน

รู้จักเวนิสอีกนิด

แน่นอนเราคุ้นเคยกับชื่อเวนิส แต่พอ search กูเกิ้ลจะทำแพลนเที่ยวตอนที่ไปครั้งแรกแล้วก็เริ่มงงว่าเวนิสจริงๆ มันรวมตรงถึงไหนนะ? ทำไมมันครอบคลุมทั้งบนบกและในน้ำ? แต่มันคือเกาะไม่ใช่เหรอ?

หลังจากที่หาข้อมูลก็สรุปได้ว่า เวนิสคือชื่อเมืองทั้งเมือง (ไม่ใช่แค่เกาะ)ในแคว้น Veneto ซึ่งรวมทั้งส่วนของแผ่นดินใหญ่ไปถึงเกาะที่เป็นจุดหมายในฝันที่ผู้คนหลายสิบล้านหลั่งไหลกันไปนั่นแหละ

ทีนี้เขาจะมีชื่อเรียก พื้นที่บนแผ่นดินใหญ่จะเรียก Terraferma ส่วนเวนิสก็หมายถึงบนเกาะอะแหละ ดังนั้นถ้าเราพักบนบนแผ่นดินใหญ่ หรือลงรถไฟบนฝั่ง (สถานีรถไฟมีทั้งบนฝั่งและในเกาะ) ต่อให้อยู่ในเขตเมืองเวนิสเหมือนกันแต่จะถือว่าเราอยู่ฝั่ง Terraferma เราว่าดีนะ ไม่งง เพราะถ้าดันอยู่บนฝั่งละบอกเพื่อนว่า “ชั้นอยู่เวนิส เวนิสอะะะะ” แต่เพื่อนอยู่นู่นนน ในเกาะ จะเจอกันปะเอาดีๆ 555

ที่เที่ยวบนฝั่งไม่ค่อยมีไรเป็น highlight ส่วนใหญ่อยู่บนเกาะ ในเกาะเวนิสเอง ก็ยังเป็นเกาะเล็กเกาะน้อย แบ่งยิบแบ่งย่อย เค้าขึ้นชื่อแหละเรื่องเกาะเยอะ แต่ทุกเกาะมีสะพานเชื่อมกันเนียนๆ เดินไปเพลินๆ ไม่ต้องมานั่งนับนะ infinity มาก จะรู้ตัวว่าท้อกับสะพานจริงๆ ก็ตอนที่ต้องลากกระเป๋าข้ามหลายสะพานไปที่พักอะแหละ เพราะฉนั้นถ้าไม่ฝากกระเป๋าให้จบๆ ก็นั่งเรือเอาเถอะ

เกาะหลักที่ใหญ่ที่สุดและเป็นไฮไลท์คือ San marco สถานที่สำคัญๆ จะอยู่บนเกาะนี้หมด แต่เวลาเดินเที่ยวไปเรื่อยๆ ก็แยกเกาะไม่ค่อยออก ยกเว้นเกาะไกลๆ ที่เดินไปไม่ได้ต้องนั่งเรือ เช่น Burano หรือ Murano ต่อให้อยู่ไกลก็ควรยอมเพียรนั่งเรือไปนะ มันน่ารักมาก

ข้อมูลในหัวฉันหมดเพียงเท่านี้ ไปดูวิธีการเดินทางเข้าสู่เมืองลำคลองกันเลยดีกว่า


การเดินทางที่เวนิส

การเดินทางจากไทยไปเวนิส, จากเมืองอื่นๆในอิตาลีไปเวนิส, หรือจากประเทศอื่นๆในยุโรปไปเวนิสนั้นมันไปได้ทุกทาง 555 #เยอะแยะจัง เรารวบรวมมาให้ดูทั้งหมด 5 ทางนะ มันจะลิงก์กันไปกันมาหมดแหละ คิดว่าน่าจะครอบคลุมการเดินทางด้วยตัวเองครบทุกแบบแล้ว ใครจะไปวิธีไหนลองเลือกยานพาหนะให้เหมาะกับทริปตัวเองดูวววว

1. เครื่องบิน 
ใครที่บินตรงจากไทยสู่เวนิส เครื่องจะลงที่ Venice Marco Polo Airport (VCE) สนามบินหลักของเค้า ซึ่งจะอยู่บน Terraferma (แต่ถ้าใครบินจากเมืองอื่นๆในยุโรปไป มันจะมีให้เลือกอีกสนามบินนึงด้วยซึ่งค่อนข้างไกล เราแนะนำว่าให้เลือกมาลง VCE น่าจะหาทางเข้าเวนิสสะดวกกว่าจ้า)

ที่นี้จาก Venice Marco Polo Airport (VCE) ไปเวนิสเนี่ย หรรษามาก จะนั่งเรือ taxi เข้าเกาะรวยๆ ก็ได้ หรือจะบัส(เหมือนฉัน)ก็ได้ มีตั๋วให้เลือกหลายแบบมากกกก ลองเข้าไปศึกษาการเดินทางในเวนิสได้ในเว็บ ACTV  แต่ถ้าอยากจองตั๋วหรืออยากเช็คราคาให้เข้าไปที่ VeneziaUnica เป็นเว็บการท่องเที่ยวของเวนิส มีตั๋วแบบรวมค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวให้เลือกด้วย (สำหรับคนขี้เกียจอ่านไม่ต้องเข้าเว็บแรกนะ ให้เข้าเว็บหลังไปเลย)

ไม่ว่าจะเที่ยวแบบชะโงกทัวร์ มาเป็นทีม มาไม่กี่วัน หรือจะมาหลายวัน บลาๆ เที่ยวแบบไหนก็มาเหอะพี่แกมีตั๋วไว้ให้เลือกเพียบ บางทีเลยเหมือนจะงง เราก็งง เลยไม่จองในเว็บ ไปซื้อที่ตู้ที่สนามบินเอา 555 แล้วถามว่าไปซื้อสนามบินไม่งงเหรอ ง๊ง คนข้างๆ ก็งง ไม่รู้งงไรกัน 555 เลยต้องสะกิดถามนายสถานีมาสอน

ฉันเลยถ่ายรูปขั้นตอนการซื้อตั๋วที่ตู้มาแปะไว้ให้ด้านล่างนี้แล้วจ้า เพื่อความง่ายในชีวิต (รูปก็เจอความสะท้อนหน้าซะ พยายามถ่ายใหม่หลายรอบ แต่ได้แค่นี้จริงๆ 555)

***ที่สำคัญมากๆ ห้ามลืมเด็ดขาด***
ขึ้นบัสไปแล้วให้รีบ validate ตั๋วที่ตู้บนรถก่อนเลย เพราะจะมีเจ้าหน้ามาขอตรวจ ขนาดของแฟนชั้น ถึงแม้จะ validate แล้ว พอเจ้าหน้าที่มาตรวจมันดันไม่ขึ้น ต้องเอาใบเสร็จ เอาตั๋วเราไปยืนยันว่าซื้อมาด้วยกัน เพิ่งซื้อก่อนขึ้นจริงๆ ไม่ได้เอาตั๋วเก่ามา ถ้าโดนปรับขึ้นมานี่จนเลยน้า

นั่นคือสภาพกระเป๋าเดินทางใบโตที่ฉันลากขึ้น bus ท่ามกลางผู้โดยสารแน่นเอียด 555

2. รถยนต์
สำหรับสาย Road trip เช่ารถขับมาจากเมืองอื่นๆ ในยุโรป ขอแบ่งเป็น 2 แบบคือ 

เช่ารถขับจากเมืองอื่นมาแวะเวนิส แล้วจะขับไปเมืองอื่นต่อ ยังไม่คืนรถ
อันนี้ต้องไปหาที่ฝากรถ เพราะเอารถเข้าเกาะไม่ได้ แต่เราขอยอมแพ้ 555 ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องไปจอดไหน หรือเช่าที่จอดตรงไหน แต่คิดว่าต้องมีที่แหละ ใครจะไปวิธีนี้ก็ได้ ยังไงลอง explore ที่จอดดูจ้า

เช่ารถจากเมืองอื่นขับมาคืนที่เวนิสเลย
ตอนเราไปครั้งแรกกับเพื่อน เป็นกรณีนี้เลย ก็ต้องดูว่าบริษัทให้ไปคืนรถที่ไหน (บริษัทรถส่วนใหญ่จะให้ไปคืนที่สนามบิน) บริษัทรถที่เราเช่าให้ไปคืนรถที่สนามบิน เราก็ขับไปคืนที่สนามบิน ทำเรื่องคืนนู่นนี่เสร็จแล้วก็ลงมาซื้อตั๋วรถบัสที่ตู้ตั๋ว เท่ากับว่าวิธีนี้หลังจากคืนรถเสร็จก็เริ่มต้นที่สนามบิน ดังนั้นก็ทำตามขั้นตอนเหมือนข้อข้างบนเป๊ะ ง่าย สบ๊าย

3. เรือ
ถ้าใครอยากสัมผัสประสบการณ์เข้าเวนิสทางน้ำ แน่นอน เรือเท่านั้นคือคำตอบ

ไม่แน่ใจเขามีใครนั่งเรือจากเมืองอื่นมั๊ย แต่ถ้าจากสนามบิน Venice Marco Polo Airport (VCE) เราสามารถเลือกนั่งเป็น Taxi boat ไปเวนิสได้ คือเหมาลำเลย ราคาก็ต้องแพงแหละ แต่ก็สะดวกสบาย ที่สนามบินมีให้เลือกหลายบริษัท จะซื้อที่นู่นเลยหรือลองเสิชหาแล้วจองไปก่อนก็ได้เช่นกัน หรืออีกอย่างคือนั่ง Water bus (เรือเมล์นั่นเอง) อันนี้จะประหยัดลงไปได้มาก ถ้ายังเลือกจะนั่งเรือ เพราะเป็นเรือโดยสารร่วมกับคนอื่นหลายๆ คน วิธีนี้สามารถซื้อตั๋วที่ตู้ Actv ที่สนามบินได้เลยเช่นกัน (วิธีกด ย้อนขึนไปดูข้างบนได้เลยจ้า)

เรายังไม่เคยลองนั่งเรือเข้าเวนิสเลย แต่เพื่อนที่เคยนั่งบอกว่า ฉากที่เรือแล่นเข้าใกล้เกาะไปเรื่อยๆ ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกนั้นมันช่างลืมไม่ลง 555 โอเคจ้ะ ถ้าได้ไปอีกจะไม่พลาดนั่งเรือเข้าเกาะจ้ะ

4. รถไฟ
รถไฟน่าจะเป็นวิธีที่คนนิยมและง่ายที่สุด เพราะการเดินทางด้วยรถไฟในอิตาลีมันสะดวกและสบายมากกกก ถ้าจะไปเวนิสก็แค่นั่งไปลงสถานี Venezia Santa Lucia ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเวนิสเลย (ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินใหญ่เหมือนสนามบิน) ไม่ต้องลำบากลำบนอะไรอีกแล้ว สถานีนี้เป็นสถานีหลักมี route มากมายมาได้จากทุกเมืองแน่นอน

Ps. เวลาจองตั๋วรถไฟในเว็บรถไฟอิตาลีต้องใส่ชื่อเมืองเป็นภาษาอิตาลีเท่านั้นนะไม่งั๊นเสิชไม่เจอ เช่น Venice ต้องใส่ว่า Venezia

5. บัส
การนั่ง Bus เชื่อมระหว่างเมืองในยุโรปเราว่าเป็นวิธีที่ประหยัดสุด มันไม่ได้สะดวกสบายเท่าการเดินทางแบบอื่นๆ เสี่ยงโจรขโมยกระเป๋าด้วยนิดนึง 555 แต่มันประหยัดจริง และไม่ได้ลำบากขนาดนั้นเมื่อเทียบกับความถูก (เหมือนนั่งบัสข้ามจังหวัดในไทยอะแหละ) 

บัสจากเมืองอื่นๆ มาเวนิสมีให้เลือกหลายบริษัท สิ่งที่ต้องดูดีๆ คือ station ที่เลือกลง เพราะบางบริษัทมาจอดส่งลงในเกาะเลย ส่วนบางบริษัทก็มีให้เลือกลงแค่ตรงสถานีรถไฟบนแผ่นดิน แล้วก็ต้องนั่งรถไฟมาเกาะเอง (จะเลือกบริษัทไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเดินทางมาจากเมืองไหนด้วย เพราะแต่ละบริษัทอาจมีเส้นทางเดินรถไม่หมือนกัน)

วันนี้เราเอามาให้ 3 บริษัทที่มี route มาเวนิสนะ ในลิงก์จะบอก station ที่แต่ละบริษัทจะจอดส่งที่เวนิสว่ามีตรงไหนบ้าง ใครจะนั่งบัสลองเข้าไปเล่นดู แล้วตอนซื้ออย่าลืมเลือกให้ถูกด้วยน้า

  1. Flixbus
  2. Ouibus
  3. Eurolines

จบการเดินทางเข้าเกาะแต่เพียงเท่านี้ ส่วนการเดินทางเที่ยวระหว่างเกาะแก่งในเวนิส มีแค่ 2 ทางคือ นั่ง Water bus กับ เดิน (ไม่รวม taxi นะ จน 555) ไกลหน่อยก็นั่งเรือ ใกล้ๆ ก็เดิน

Ticket ขึ้น Water bus เที่ยวในเวนิส ใครกดตู้ซื้อพร้อมตั๋วเข้าเกาะจากสนามบินมาแล้วก็สบายตัว จะไปที่ไหนก็เปิด Google map ดูรอบเรือและท่าเรือที่ต้องขึ้นได้เลย (ถ้าใครไปเกาะไกลๆ แบบที่เดินกลับไม่ไหว อย่าลืมเช็คเรือรอบสุดท้ายว่ากี่โมง แล้วมาขึ้นให้ทันด้วยนา)

ส่วนใครอยากลองเดินก่อน เหนื่อยค่อยซื้อตั๋วบนเกาะ เข้าไปดูจุดขายตั๋วได้ที่ Actv dealers เค้ามีบอกจุดขายทุกจุด(ควรไปซื้อตามจุดเหล่านี้เท่านั้นนะ ซื้อที่อื่นระวังตั๋วปลอมด้วย) จริงๆ เดินเล่นในเวนิสนี่เพลินมากกกก ขนาดไม่ชอบเดินยังเดินสนุกได้ ไม่เบื่อเลย เมืองมันน่ารักอะ ถ่ายรูปตลอดทาง ถ่ายรูปเหนื่อยกว่าเดินอีกอะ ฮาาา


แพลนเที่ยวเวนิส 2 วัน 2 คืน

DAY 1
Venice – Burano Island – Venice

วันแรกเราบินมาจาก Stockholm มาถึง Venice ก็เกือบ 2 โมงแล้ว เลยรีบเอาของไปเก็บ Check-in ที่พักแล้วออกไปเที่ยว Burano Island ก่อนเลย เนื่องจากสามารถใช้ตั๋วเรือที่ซื้อมา 24 ชม. นั่งไปได้ แล้วมันไกล ต้องนั่งเรือไปเท่านั้น ตั๋วคุ้มแล้วเนี่ย 555

วันแรกนี่ยกให้เกาะ Burano ที่เดียวเลยเพราะต้องนั่งเรือไปประมาณ 40 นาที ไปกลับก็ชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะนานขนาดนั้นก็เหอะ เตือนไว้ตรงนี้อีกครั้งว่าห้ามพลาด Burano เด็ดขาดถ้าไม่อยากซื้อตั๋วเครื่องบินไปใหม่ไปใหม่! 555 (รายละเอียดเดี๋ยวขอแยกไว้อีกหัวข้อให้คุณ Burano เค้าโดยเฉพาะ)

บ้านเรือนใน Burano ในวันที่ไม่มีทัวร์ลง ถ่ายรูปเพลินเกินเรื่องมาก

เรากินข้าวเย็นที่นั่นเลยก่อนกลับเข้ามาเวนิส มาถึงตอนเย็นๆ ค่ำๆ ก็ไม่ได้ทำไรมาก เดินเล่นถ่ายรูปเวนิสตอนกลางคืนระหว่างทางไปเรื่อยๆ กลัวก็กลัวนะไม่ใช่ว่ากล้า ทางเปลี่ยวมากก็ไม่ได้ว่าเลี้ยวเข้าไป 555 เวนิสมันเป็นเมืองที่บอกไม่ถูกดีนะ บางมุมมันก็ดูเหมือนเงียบขรึม แต่บางมุมก็รู้สึกว่าเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา ตามบาร์ก็มีคนนั่งดื่มกันอย่างสนุกสนานยันดึกดื่น เพลงก็เปิดกันจนแทบอยากเต้นด้วย แต่กลับห้องไปนอนเถอะ

DAY 2
Piazza San Macro – Bridge of Sighs – Acqua Alta Book Shop – Gondola – Rialto Bridge – Grand canal

วันที่ 2 ถึงแม้เราจะมีเวลาทั้งวันเต็มๆ ให้กับเวนิส แต่ก็เหมือนไม่ได้ทำอะไร 555 เดินเล่น นั่งเรือเล่น วนไปวนมาชมวิว พักกิน ที่สำคัญฉันไม่ได้เข้า Museum หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอะไรของเค้าเลยเอาดีๆ 555 ได้แต่ไปยืนดูข้างหน้าแล้วก็ เออ ไปที่อื่นเถอะ (ใครเป็นสายสาระ ฉันขอโทษด้วยจ้ะ) แล้วเราก็เอาเวลาไปเดินเล่นตามเก็บรูปมุมถ่ายรูปจนมืดค่ำให้มันสาแก่ใจ มีความสุขไปอีกแบบนะ มาดูผลงานวันที่ 2 กันเลยดีกว่า

ตื่นเช้ามาสิ่งแรกก่อนเริ่มเที่ยว คือ check out ที่พัก แล้วเอากระเป๋าเดินทางไปฝากก่อน เพราะคืนที่ 2 เปลี่ยนไปนอนอีกฟากของเกาะ ครั้นจะลากกระเป๋าไปเที่ยวด้วยทั้งวันก็ใช่เรื่อง เลยแบ่งของใส่เป้มาแค่พอใช้สำหรับคืนที่ 2 ส่วนกระเป๋าเดินทางฝากไว้ยันกลับเลย เราเลือกฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟ เพราะวันรุ่งขึ้นต้องขึ้นรถไฟแต่เช้าตรู่อยู่แล้ว

Baggage point นี้จะอยู่ที่ชานชาลา 1 เดินเลี้ยวเรียบรางรถไฟมาเรื่อยๆ ก็จะเจอ (ราคาวันละ 9 Euro ถ้าจำไม่ผิด) ละเค้าเปิด 6 โมงเช้านะ ใครต้องการรับกระเป๋าคืนเช้ากว่านั้นอย่าเผลอไปฝากอะ

หลังจากจัดการกระเป๋าเสร็จ ก็ได้เวลาเที่ยวซักที เราเริ่มจากนั่งเรือไป San Macro เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา 100 กว่าเกาะของนาง จัตุรัส San Macro (Piazza San Macro) เลยเป็นแหล่งรวมสถานที่สำคัญๆ อยู่เต็มไปหมด ได้แก่ แถ่นแทนแท๊นนน พระราชวังดอจ (Palazzo Ducale), มหาวิหารเซนต์มาร์ก (St. Mark’s Basilica), หอระฆังซานมาร์โก (San Marco Campanile) รวมไปถึงคาเฟ่ที่นับว่าเก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง Caffè Florian ร้านอาหาร ร้านแบรนด์เนม ร้านขายสินค้าอื่นๆ ร้านขนม-ช็อคโกแลต บลาๆ ซึ่งทั้งหมดนั่น… ฉันไม่ได้เข้าเลยซักอัน 555 เวลาน้อยอะ เลยเอาไปเดินเล่นแทน แต่ถ้าใครมีเวลาคิดว่าควรเข้าไปชมนะ อยากเข้าอันไหนลองไปอ่านประวัติดูก่อน น่าสนใจทุกอันแหละ แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วออนไลน์ไปก่อน จะได้ไม่ไปเสียเวลาต่อแถวเยอะแยะที่นู่น

Bridge of Sighs

เค้าบอกว่า ภายใต้ความสวยงามของพระราชวังดอจจะมีคุกใต้ดินที่สุดสะพรึงอยู่ (ขึ้นชื่อว่าคุกก็สะพรึงหมดอะเอาจริง) โดยคุกนี้เชื่อมกับสะพานหินที่มีหลังคาและผนังมิดชิด มีเพียงหน้าต่างบานเล็ก มีแค่ช่องแสงผ่านนิดเดียวโดยถ้าส่องออกมาจะเห็นวิวข้างนอกได้ นักโทษจะต้องเดินผ่านสะพานนี้ไปยังห้องขัง ที่นี่เลยเหมือนเป็นแสงและภาพภายนอกภาพสุดท้ายที่จะได้เห็นก่อนจะหมดอิสรภาพ และทุกคนคงถอนหายใจด้วยความเศร้าอะแหละมั๊ง สะพานนี้เลยได้ชื่อว่า Bridge of Sighs

Acqua Alta Book Shop

ภาพกำแพงที่มีหนังสือเก่าๆ มากองเรียงเป็นบันไดในร้านหนังสือนึง กลายเป็น 1 ในมุมฮิตของเวนิสที่เราเห็นใน Instagram จนคิดว่าต้องแวะไปดูหน่อย

ร้าน Acqua Alta Book Shop เป็นร้านหนังสือที่ไม่เหมือนใครจริงๆ เป็นไปตามปัจจัยของเมืองที่ตั้งอยู่นั่นแหละ ร้านตั้งอยู่ริมคลองที่น้ำท่วมทุกปีอย่างที่เราเคยเห็นข่าว หนังสือส่วนนึงเลยถูกจัดวางไว้บนเรือ gondola เพื่อมันจะได้ลอย และไม่เสียหายเมื่อน้ำท่วม เอ้อ เอาดิ 555

ตอนไปถึงหน้าร้านจะมีแมวนั่งรับแขก เหมือนมานั่งขายของ หมั่นไส้มาก เรารีบเดินเข้าไปดูข้างในตามทางเล็กๆ จำได้ว่าเห็นเค้ามีคาเฟ่ในร้านให้ได้จิบกาแฟริมคลองด้วย แต่วันนั้นหาไม่เจอและไม่กล้าเดินสำรวจเยอะ ทางเดินมันแคบกลัวไปชนอะไรเข้าและจะยุ่ง เลยรีบเดินตรงไปในสุดของร้านเพราะเดาเอาว่าบันไดหนังสือคงอยู่แถวนั้น (มันดูเป็นไปได้สุด) และก็เจอคน5-6 คนกำลังต่อคิวถ่ายรูปกันอย่างน่ารัก เราเลยเดินไปต่อแถวเค้ารอถ่ายรูป

ก่อนไปคิดภาพไว้ว่าจะนั่งสวยๆ ถ่ายรูป แต่พอถึงกองหนังสือนั่นคือ อื้มมมม หนังสือเก่าจริงไม่มีลวงตา เก่าแบบใกล้ย่อยสลาย เหยียบไปจะมีฝุ่นลอยขึ้นมาแทบอยากหยุดหายใจ เลยนั่งไม่ลงจริงๆ ยืนถ่ายได้มาแค่นั้นแหละจ้า

คุณพี่คนนี้แหละสุดใจดี ร้องเพลงก็เพราะ

Gondola

คือเรือพายที่เป็นสัญลักษณ์ของเวนิส เมื่อก่อนใช้งานจริง แต่ปัจจุบันใช้แค่ในแง่ของการส่งเสริมการท่องเที่ยวอะแหละ ราคาก็ไม่ถูกแต่ก็ไม่ได้แพงเว่อร์นะ เรานี่กำตังค์ไปเลยอะ เท่าไหร่ก็จะนั่ง ไปแล้วก็ต้องนั่งปะ 555 จุดขึ้นเรือมีหลายจุดมาก แต่ละจุดก็จะมีป้ายบอกราคาไว้ให้

ราคาเรือแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา
รอบเช้า ราคา 80 ยูโรต่อลำ ใช้เวลานั่ง 30 นาที
รอบเย็น ตั้งแต่ 19.00 -20.00 ราคา 100 ยูโรต่อลำ ใช้เวลานั่ง 35 นาที

เรือ 1 ลำจะนั่งได้ 6 คน นั่งน้อยกว่านั้นได้ แต่ราคาพอหารกันต่อหัวก็จะแพงขึ้นไปตามลำดับ เราเห็นบางคนไปขอแชร์กับนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ไม่รู้จักก็มี แต่เราไม่แชร์อะ นั่งกันเองก็เปลี่ยนที่ผลัดกันถ่ายรูปจนครบ 30 นาทีพอดีแล้วอะ 555 การต่อราคานั้นต่อได้นิดหน่อย เราก็ต่อมาได้ 10 ยูโร แต่มาคิดทีหลังรู้สึกผิดมากไม่น่าต่อเลย รู้สึกว่าคุ้ม และมันคืออาชีพของเค้า ราคาก็แปะอยู่ไม่ได้โก่งราคา เรือแม่งก็ไม่ได้พายง่ายเลย ใช้สกิลสูงมาก แถมร้องเพลงให้ฟัง แง รัก

Rialto Bridge

Rialto Bridge เป็นสะพานแรก และเก่าแก่ที่สุดในเวนิส สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ข้าม Grand canal ให้ชุมชนสองฝั่งได้ไปมาหาสู่และค้าขายกันสะดวก เท่าที่อ่านมาเค้าบอกว่า ตอนแรกเป็นแค่แพลอยน้ำแค่พอเดินข้ามฝั่งไปมาได้ด้วยซ้ำ ต่อมาก็ซ่อมแซมพัฒนาไปเป็นสะพานไม้ และมาเป็นสะพานหินอันนี้ในที่สุด สะพานนี้สร้างเสร็จตอนปี ค.ศ.1591 โดยคนที่ชนะการออกแบบจนได้สะพานที่เป็นเอกลักษณ์ของเวนิสมาจนถึงทุกวันนี้คือ Antonio da Ponte (ให้เกียรติพิมพ์ชื่อเค้าไว้หน่อย เค้าอุตส่าห์สร้างสิ่งสวยงามและมีคุณค่า ให้เด็กรุ่นเราที่เกิดตั้ง 400 กว่าปีให้หลังได้ไปดู) ขนลุกนะ เออ อิน 555

บนสะพานเบียดเสียดไปด้วยนักท่องเที่ยวกับร้านค้า ส่วนข้างล่างก็มีตลาด คือเป็นจุดที่คนพลุกพล่านเว่อ เราขี้รำคาญเลยอยู่บนสะพานแป้บเดียว ทนไม่ไหว เอาเวลาไปนั่งเรือโดยสารที่ซื้อตั๋วแบบ 24 ชั่วโมงมาแล้วแทน เรานั่งเรือเที่ยวไปเที่ยวมา วนถ่ายรูปสะพานและสองฝั่งคลองอยู่นานเหมือนกันเพราะชอบตอนอยู่บนเรือมาก ยืนเฉยๆ แต่ได้ชมเมืองไปรอบเลย (รักสบาย ขี้เกียจเดินอะแหละ) ได้เห็นตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่ถ้าต้องเดินเองคงไม่ไป และได้เห็นชาว Venatian ใช้ชีวิตกัน น่ารักกกกกก

Grand Canal

เวนิสเป็นเมืองใช้ชีวิตกับสายน้ำของแท้ เดินไปไหนก็ข้ามแต่คลองๆๆๆ แต่มันจะมีคลองหลัก (คงเหมือนถนนเส้นหลัก) ที่พลุกพล่านสุด ใหญ่สุด คลองนั้นก็ได้รับชื่อไปเลยจ้ะว่า Grand Canal ตรงความหมายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว 555 คลองนี้เหมือนเป็นทางออกใหญ่เชื่อมคลองต่างๆ แล้วออกสู่ทะเล สองข้างคลองเลยจะครึกครื้นเต็มไปด้วยร้านอาหารและผู้คนที่มานั่งกินข้าว ชมวิว ดมกลิ่นคลองไปอะไรไป

หลังจากเที่ยวที่หลักๆ จนครบ ตอนหัวค่ำก็เลยเดินเรื่อยเปื่อยแล้วแหละ อากาศมันดีอะ ถึงจะเหนื่อยจากการเที่ยวมาทั้งวัน แต่ก็ยังมีแรงเอนจอยเวนิสยามค่ำคืนไหวได้อีกคืนแหละ ก็มันสวยอะ มันโรแมนติกไง ขออภัยจำไม่ได้ว่าพูดคำนี้ซ้ำไปกี่ครั้งแล้ว 555

DAY 3
ตื่นนอนเพื่อไปขึ้นรถไฟไป Florence ทันก็บุญแล้ว!

วันสุดท้ายใน Venice นี้มีไว้แค่เพื่อตื่นไปเมืองอื่นต่อ ซึ่งจองรถไฟไว้เช้ามากกกกเพราะงกเวลาเที่ยว เราตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างมาเพื่อพบว่าฝนตก ในขณะที่ต้องรีบไปสถานีรถไฟให้ทันรอบที่จองไว้ ดังนั้น ลุยฝนคือทางรอดเดียว 555 คิดได้ดังนั้นก็พากันวิ่งฝ่าฝนไปสถานีรถไฟ โชคดีมากที่ยอมเสียตังฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่สถานีแล้ว ไม่งั้นจินตนาการไม่ออกเลย คงป่วงสุด เป็นความรู้สึกที่สะใจแบบบอกไม่ถูก รู้สึกชนะเลิศ ใครมาเวนิสจงฝากระเป๋า!

ยังคงยืนยันว่าต่อให้เวนิสจะเป็นเมืองที่เที่ยวยกครัวทัวร์ยกแกงค์กันมาจากทุกมุมโลก วุ่นวายแทบจะตลอดเวลา แต่มันก็ยังมีตรอกซอกซอยเงียบๆ ให้เราได้พักตาพักใจ (ใครไปเจอตรอกเงียบมากก็ระวังโจรด้วย) และนั่งซึมซับความโรแมนติกของมันได้แบบที่ไม่ว่าจะไปกับเพื่อนหรือกับแฟนก็โรแมนติกได้อะเออ

พอรถไฟเริ่มเคลื่อน เรากับกัยก็โบกมือลา Venice (โบกแบบยกมือโบกจริงๆ ด้วยอินเนอร์) เราชอบความรู้สึกแบบนั้นมากเลย เป็นความรู้สึกที่อิ่มเอมจากที่ที่หนึ่ง รู้สึกรอดแล้วโว้ย ไม่โดนขโมยโว้ย ประทับใจโว้ย จบสิ้นความเหนื่อยล้า มีเวลาได้งีบ แต่แค่เพียงแค่รถไฟวิ่งไม่กี่ชั่วโมงถัดไป เราก็ตื่นขึ้นมาอย่างสดใสพร้อมลุยเที่ยวที่ใหม่เหมือนไม่เคยเหนื่อยมาก่อน 🙂

Ps.
1. ถ้าอยากอยากเดินเที่ยวเวนิสชิวๆ ถ่ายรูปสวยๆ แนะนำตื่นมาเดินเช้าๆ ทัวร์จะยังไม่ลง ไม่ต้องแย่งมุมกับใคร
2. ใครชอบ Chocolate หรืออยากซื้อเป็นของฝาก ที่เวนิสอร่อยแทบทุกร้านเลย แต่เราแนะนำร้าน Nino & friends เค้ามีให้ลองชิมด้วย แบบไม่หวงเลย ชิมร้านนี้แล้วถูกจริต
3. ที่พักที่เวนิสจะค่อนข้างโบราณๆ หน่อย และเก่าๆ หน่อยเมื่อเทียบกับเมืองอื่นในราคาเดียวกัน (เลิศหรูก็มีแต่แพงแบบ…) ก่อนจองควรเช็ควิธี check-in ว่ายากลำบากไปมั๊ย เพราะบางที่คือไม่ต้องเจอหน้ากันเลย ทำตามขั้นตอนที่เค้าแนะนำในอีเมลล์ ถ้าเราไม่ชอบเวย์นี้ก็จองที่อื่น หรือ location โอเคมั๊ย ต้องข้ามกี่สะพาน เรือถึงหรือเปล่า เราจะได้วางแผนชีวิตได้ก่อน ถึงที่นั่นจะได้มีอารมณ์ไปเอนจอยเมืองได้เต็มที่

Leave a comment